ยิ่งนานวันงานของ ญาญ่า-อุรัสยา เสปอร์บันด์ ก็ยิ่งมีมากขึ้นๆ ตามความนิยมที่เพิ่มพูน
ทั้งงานโฆษณา, อีเวนต์ และละคร ซึ่งอย่างหลังนี้เป็นงานหลัก ณ ปัจจุบัน นางเอกคนสวยบอกว่ารับอยู่ 2 เรื่อง คือ “คลื่นชีวิต” ที่เล่นกับ หมาก-ปริญ สุภารัตน์ กับที่แฟนคลับกรี๊ดกันนัก “เล่ห์ลับสลับร่าง” เนื่องจากเป็นงานที่แสดงกับ ณเดชน์ คูกิมิยะ
เรื่องแรกเริ่มถ่ายแล้ว ญาญ่าว่า “สนุก” และ “ท้าทาย” ดี
ขณะที่เรื่องหลังซึ่งตามบทเธอกับณเดชน์ต้องสลับร่างกัน แม้จะยังไม่เปิดกล้อง แต่บอกเลย “ยากแน่” ระหว่างนี้ทั้งเธอและเขาจึงต้องเรียนการแสดงเพิ่ม
ส่วนประเด็นที่แฟนๆ ดีใจที่ได้กลับมาจับคู่ “กัลยาณมิตรที่ดี”, “คนที่สนิทที่สุด” นั้น เจ้าตัวยิ้ม แล้วว่าเธอเองก็ดีใจเช่นกัน
“เพราะว่าพี่ณเดชน์เก่ง ฉะนั้นถ้ากลับมาเล่นด้วยกันมันน่าจะดีค่ะ” ญาญ่าให้เหตุผล
ญาญ่าในวัย 22 บอกว่าช่วงหลังๆ มานี้เธอมีงานให้ทำแทบทุกวัน แต่กระนั้นก็ “ไม่เหนื่อยค่ะ”
“ชินแล้ว” เธอบอกยิ้มๆ
“คือทำงานมาตั้งแต่อายุ 16-17 เพราะฉะนั้นแต่ละวันต้องทำอะไรเยอะ ถ้าวันไหนว่างจะเบื่อ เหมือนขาดอะไรไป”
อย่างไรก็ตามวันดีคืนดี ก็มีเหมือนกันที่ท้อ
“ตอนเช้าๆ น่ะค่ะ ที่แบบว่า So tired เหนื่อยจัง ซึ่งมีบ่อยเหมือนกัน” เจ้าตัวสารภาพ
ก่อนเสริม “แต่ว่ามันเป็นชั่ววูบค่ะ”
“เพราะตอนที่มาถึงงาน มันมีหลายชีวิตมากที่รอเราอยู่ เพราะฉะนั้นแค่ความรู้สึกของเรา จะทำให้คนอื่นอารมณ์เสียก็ไม่ใช่ อารมณ์ไม่ดีของเราจะไปทำให้วันของเขาไม่ดีเหมือนกัน ก็ไม่ใช่เรื่อง”
“แล้วมันคืองานของเรา เราก็ต้องทำให้ดี”
ยิ่งเป็นงานที่เลือกเอง รับเองด้วยแล้ว ยิ่งต้องรับผิดชอบให้เต็มที่
ที่รับงานเยอะขนาดนี้ ญาญ่าว่านอกจากเพราะความชอบ ส่วนหนึ่งยังรู้สึกว่านี่เป็นโอกาสที่ “ถ้าไม่ทำตอนนี้ ก็จะไม่มีอีกแล้ว”
ขณะในเรื่องการเรียน บัณฑิตคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่กำลังจะเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรในวันที่ 8 ตุลาคมนี้ บอกว่าตั้งใจจะเรียนต่อ แต่ยังไม่รู้จะเลือกอะไรระหว่างด้านธุรกิจที่พ่อแนะนำ รวมทั้งที่เธอคิดว่าน่าจะมีประโยชน์สำหรับธุรกิจจิวเวลรีที่คิดจะร่วมหุ้นกับพี่สาวบุกเบิก กับจิตวิทยาที่ชอบเป็นการส่วนตัว
“จิตวิทยามันใช้ในชีวิตประจำวันได้ ใช้ในการทำงานของเราก็ได้ด้วย เพราะเราต้องสวมบทบาทเป็นคนนู้น คนนี้ ทำให้เข้าใจมากขึ้น”
โชคดีที่ยังมีเวลาตัดสินใจ
“ตอนแรกกะจะต่อเทอมนี้ค่ะ แต่ไม่ไหว ขอปีหน้าเลยละกัน เพราะคลื่นชีวิตเป็นละครที่ยากมาก แล้วน่าจะคล้ายๆ กับตอนที่เรียนปริญญาตรี ก็ต้องแบ่งเวลาให้ได้ ห้ามงอแง แล้วก็ห้ามขี้เกียจด้วยค่ะ” ญาญ่าพูดด้วยท่าทีขึงขัง
“เพราะสุดท้ายแล้วเวลามันมีตั้งเยอะตั้งแยะ ถ้าพยายามทำทุกอย่างที่มีความสำคัญลำดับแรกให้เสร็จ ก็ทำได้ค่ะ”
ซึ่งจริงทั้งในเรื่องการศึกษาก็อย่างที่รู้ๆ ขณะที่ในส่วนเรื่องงาน หลายคนก็ชมว่าเธอแสดงได้ดีขึ้น
“จริงเหรอคะ ว้าว” สาวน้อยอุทานด้วยเสียงใสและรอยยิ้มสดใส
“อันนี้คือคำชมที่อยากได้ยินมากๆ”
“ญาญ่าว่าที่ทำได้ดีขึ้น เพราะเข้าใจมากขึ้น เริ่มเข้าใจภาษามากขึ้นและก็ประสบการณ์ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับประสบการณ์เลยค่ะ บางทีถ้าเราเจออะไรมาเยอะ เราก็จะเข้าใจบางอารมณ์มากกว่าคนอื่น”
“แล้วทุกอย่างมันมาด้วยอายุค่ะ เริ่มเข้าใจความเป็นมนุษย์มากขึ้น ก็อาจจะถ่ายทอดได้ดีขึ้น”
“เป้าหมายของญาญ่าคืออยากให้คนมองว่าเราเป็นนักแสดงที่มีคุณภาพ จึงต้องให้แพสชั่นของเราเต็มร้อยตลอดเวลา”
พร้อมกันนั้นก็พยายามฝึกฝนตนให้เก่งขึ้นๆ กับครูที่คอยจัดหามาสอน
กับรายได้ที่ได้มากนั้น ญาญ่าบอกว่า “ทุกบาททุกสตางค์เข้าแบงก์หมดเลยค่ะ”
“แม่ไม่ค่อยให้ใช้เงินที่ได้มา บอกว่าให้เก็บไว้ก่อน เพราะตอนนี้พ่อกับแม่ยังต้องดูแลอยู่ ถ้าอยากได้อะไรที่เป็นส่วนตัวก็ค่อยซื้อ แต่ว่าตอนนี้ไม่ได้ใช้เลย”
อ้อ อาจมีใช้บ้างเวลาไปทำบุญ
“นั่นเป็นสิ่งที่ญาญ่าทำมาตั้งแต่เด็กๆ ตั้งแต่ตอนอยู่ไฮสคูล จะมีอาจารย์พาไปสอนภาษาอังกฤษ หาเงินเพื่อจะไปสร้างโรงเรียน คือมันเป็นการทำบุญที่เราเห็นได้ชัดเจนว่าเงินมันไปไหน”
ส่วนการไปวัดบ่อยๆ นั่นก็ชอบ เพราะว่าทำให้ได้สงบสติ
เผยด้วยว่าเวลาทำบุญ เธอจะอธิษฐานเเหมือนเดิมทุกครั้ง ว่าขอให้ทุกคนในครอบครัวและตัวเธอเองมีสุขภาพแข็งแรง
ส่วนเรื่องให้อยู่เป็นดาวค้างฟ้า หรือว่าไปไหนมาไหนมีแต่คนรักนั้น-ไม่ขอ
“บอกตัวเองตลอดค่ะ ทุกคนในโลกนี้รักเราไม่ได้ เพราะว่าส่วนตัวแล้วก็มีบางคนที่เราชอบ บางคนที่เราไม่ชอบ”
กระแสแอนตี้ญาญ่าจึงเป็นสิ่งที่เธอรับรู้ด้วยความเข้าใจ
“เพราะฉะนั้นถ้าคำพูดอะไรที่ไม่ดี เราอาจจะเอามาใช้ ปรับตัวเองให้ดีขึ้น แต่นั่นคือบุคคลส่วนน้อยที่อาจจะไม่ชอบเรา แล้วมาเขียนอะไรแบบนี้ ส่วนมากก็จะแค่คนสองคน ที่เคยเห็นในอินสตาแกรม ก็ฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง”
“แล้วเราก็ต้องมองโลกในความเป็นจริงด้วย”
ด้วยเหตุนี้ “นิสัยเด็กๆ” ที่ชอบทำอย่างการนำหนังสือไปแช่ช่องฟรีซในตู้เย็น เวลาอ่านถึงตอนที่อยากถนอมรักษาอารมณ์และเหตุการณ์บางตอนของเรื่อง ปัจจุบันจึงยกเลิกไป
“ตอนเด็กๆ คิดอะไรไม่รู้ถึงทำ แต่ในหลายๆ เล่มที่เราอยากฟรีซโมเมนต์นั้น ส่วนมากคือพระเอกกำลังจะตาย ทนไม่ได้ ทนไม่ไหว ร้องไห้ ก็เลยบ้าบออะไรไม่รู้ กลับมาฟังแล้วเสี่ยวมากเลยค่ะ” เจ้าตัวเล่าพลางหัวเราะเขิน
“มันช่วยได้ตอนนั้นนะคะ แต่ตอนนี้ทำไม่ได้ค่ะ รู้สึกว่ามันไม่เวิร์ก”
เพราะอย่างไรเสียนั่นเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริงที่ต้องยอมรับ
ก็เหมือนกับต่างๆ นานาที่ชีวิตจะต้องพบเจอนั่นละ
ขอบคุณข่าวจาก โพสโดยประชาชาติธุรกิจ
ประชาชาติไลฟ์-Entertainment ที่มา : นสพ.มติชน